• Welcome to Phuket forum เว็บบอร์ด ภูเก็ต.
 

ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu

กระทู้ล่าสุด

#41
หลังคาโรงงาน จุดสำคัญที่ควรติดฉนวนกันความร้อน

ผู้ประกอบการโรงงานทุกคนต่างตระหนักดีว่า การไม่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนภายในโรงงานนั้น จะมาซึ่งปัญหาใหญ่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ทำงานหนักขึ้น เสื่อมสภาพไวขึ้น ตลอดจนเสี่ยงทำให้พนักงานเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ และทำงานได้แบบไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในโรงงานนั้นร้อนเกินไปจนบั่นทอนศักยภาพในการทำงานของทุกคนลง

แต่อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ คนเวลาโฟกัสว่าจะต้องติดฉนวนกันความร้อนโรงงาน ก็มักจะคิดถึงการติดฉนวนกันความร้อนที่ห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง ท่อน้ำร้อนน้ำเย็น หรือบริเวณระบบปรับอากาศ ซึ่งทุกจุดที่กล่าวมาก็ถือว่าสำคัญและจำเป็นต้องติดฉนวนกันความร้อน แต่จุดหนึ่งที่หลายคนหลงลืมมองข้ามไป แต่ควรได้รับการติดฉนวนกันความร้อนเช่นกัน นั่นก็คือ บริเวณหลังคาโรงงาน โดยเหตุผลที่หลังคาโรงงานควรได้รับการติดตั้งฉนวนกันความร้อนแบบขาดไม่ได้ ก็เพราะ


1.เพราะหลังคาโรงคือจุดสะสมความร้อนที่ใหญ่ที่สุด

เครื่องจักรที่ปล่อยความร้อนออกมายังมีวันได้หยุดพัก ระบบปรับอากาศก็เช่นกัน เมื่อปิดก็หยุดทำงาน แต่สำหรับหลังคาโรงงานนั้นไม่ใช่ เพราะทุก ๆ วันตั้งแต่เช้าก็พระอาทิตย์ตกดิน หลังคาโรงงานจะดูดซับความร้อนเอาไว้ทั้งหมด หลายคนอาจบอกว่าพอตกกลางคืนก็ไม่ร้อนแล้ว ซึ่งก็อาจใช่ แต่ความร้อนที่สะสมอยู่บริเวณหลังคานั้นยังอยู่ แล้วค่อย ๆ แพร่กระจายเข้าไปในโรงงาน เหมือนกับเวลาที่เราอยู่บ้านทั้งวัน แล้วพอตกกลางคืนรู้สึกร้อนผิดปกติ นั่นก็เพราะความร้อนที่สะสมมานั้นเริ่มกระจายตัวนั่นเอง

ทั้งนี้ แม้โรงงานจะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่หลังคาโรงงานก็จะยังคงตระหง่านรับแดดทั้งวันของทุกวันเสมอ นั่นเองจึงเป็นเหตุผลให้โรงงานทุกแห่งควรมีการวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อนสำหรับหลังคาเอาไว้แบบขาดไม่ได้ เพราะจะช่วยลดการสะสมความร้อนที่ทำให้โรงงานร้อนขึ้นได้เป็นอย่างดี


2.เพราะช่วยกันเสียงดังเวลาฝนตกได้ดี

หลังคาโรงงานส่วนใหญ่จะเป็นเมทัลชีท ซึ่งนอกจากกจะดูดซับความร้อนได้เป็นอย่างดีแล้ว ในช่วงฤดูฝนเมื่อฝนตกลงมากระทบหลังคาจะเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึงรบกวนการทำงานในโรงงานอย่างมาก โดยการที่โรงงานถูกเสียงดังของฝนตกกระทบหลังคารบกวนนั้น อาจนำไปสู่ความเสียหายในการทำงานของพนักงานในโรงงานได้ เพราะสื่อสารกันไม่ค่อยได้ยิน อาจทำให้เกิดการผิดพลาด หรือเกิดอุบัติเหตุที่สร้างความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สินและต่อชีวิตของพนักงานได้อย่างไม่คาดคิด การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาโรงงาน จะช่วยลดเสียงดังรบกวนเวลาฝนตก รวมถึงเสียงดังอื่น ๆ จากภายนอกได้มากขึ้น ทำให้การทำงานภายในโรงงานในช่วงหน้าฝน เป็นไปอย่างเงียบสงบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น


3.เพราะช่วยลดความเสียหายจากอัคคีภัยได้

อาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดได้บ่อยสำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้ในโรงงาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะโรงงานเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงมากมายที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ได้ ทั้งนี้ การเสริมฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาโรงงานนั้น จะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการลดโอกาสการเกิดความเสียหาย โดยถ้าเราเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีคุณสมบัติไม่ลามไฟ ก็จะทำให้ไฟไหม้หลังคายากขึ้น ซึ่งหากหลังคาโรงงานถูกไฟไหม้ได้ง่าย ก็มีโอกาสที่จะร่วงหล่นลงมาเป็นอันตรายกับคนในโรงงานได้ ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้คนและทรัพย์สินในขณะเกิดเพลิงไหม้เป็นไปอย่างยากลำบาก ดังนั้น การเสริมฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาโรงงาน จึงให้ประโยชน์รอบด้านมากกว่าแค่ช่วยลดการสะสมความร้อนและทำให้ควบคุมต้นทุนการผลิต ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

ฉนวนกันความร้อนเป็นสิ่งที่สำคัญกับโรงงานมาก ซึ่งในการจะติดตั้งฉนวนกันความร้อนแล้วได้ผลลัพธ์สูงสุด ก็ต้องมีการสำรวจหน้างานและวางแผนจุดติดตั้งให้ละเอียดรอบคอบด้วย เพราะถึงเราจะติดฉนวนกันความร้อนที่ห้องเครื่องจักร ที่ระบบปรับอากาศแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ติดฉนวนกันความร้อนที่หลังคาโรงงาน การควบคุมความร้อนสะสมภายในโรงงานก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ตั้งใจวางแผนเอาไว้
#42
การใช้เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE ช่วยปรับปรุงการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อใบหน้าในเด็กได้ดี
 
ในการจัดฟันในเด็ก หลายคนคงเคยได้ยินว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้หลากหลายรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ปัญหารูปร่างฟันที่ผิดปกติ แน่นอนว่าการจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันเด็กได้อย่างหลากหลาย ซึ่งเด็กสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 4 ขวบ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้ามาตรวจช่องปากกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันแท้งอกครบทุกซี่ เพราะเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรเติบโต และถ้าตรวจพบปัญหาฟันซ้อน

การสบฟันผิดปกติ จะสามารถแก้ไขได้ง่ายมากกว่าการจัดฟันตอนโต ซึ่งเครื่องมือการจัดฟันที่เหมาะสำหรับเด็กในวัยนี้คือ การจัดฟันด้วยเครื่องมือ EF LINE เพราะเป็นเครื่องมือที่เด็กสามารถใส่ได้อย่างสะดวก มีลักษณะเป็นชิ้นยางไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองช่องปากและสามารถแก้ไขปัญหา กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ด้วย ในเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ดูดขวดนม นอกจากนี้เด็กที่มีปัญหา ฟันหน้ายื่น มีฟันสบผิดปกติ

เพราะอาจทำให้ขากรรไกรเติบโตแบบไม่สมดุลกัน มีปัญหาช่องฟันห่าง เพราะช่วยปรับให้ซี่ฟันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และง่ายต่อการขึ้นของฟันแท้ ขากรรไกรไม่ได้สัดส่วนกับหน้า เพราะเจริญเติบโตผิดปกติ หรือการกลืนผิดปกติ และนอนหายใจทางปาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของเครื่องมือ EF LINE ช่วยปรับปรุงการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อใบหน้าในเด็กได้ดี
 
สำหรับเครื่องมือ EF LINE นั้น จัดเป็นงานการประยุกต์และปรับปรุงการเจริญเติบโตซึ่งจะได้ผลดีเมื่อเริ่มในเด็ก เหมาะสำหรับเด็กที่มีการสบฟันแบบ ฟันบนยื่นมากสามารถแก้ไขได้ภายใน 6-9 เดือน โดยการใช้เครื่องมือ EF LINE จะทำในเด็กที่อยู่ระหว่างการเจริญเติบโต หรือก่อนการเจริญเติบโตสูงสุดของร่างกาย ซึ่งถ้าเด็กอยู่ในระยะฟันชุดผสมจะให้ผลดี หรือในเด็กที่มีโครงสร้างใบหน้าผิดปกติ

การให้การรักษาก่อนถึงระยะการเจริญเติบโตประมาณ 2-3 ปี ทั้งในเด็กหญิงและเด็กชายจะให้ผลลัพธ์ดีและปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยแก้ไขปัญหาหายใจทางปาก ปัญหาการวางตำแหน่งลิ้นไม่ถูกต้อง และการกลืนที่ผิดปกติ พร้อมกับการจัดฟันให้ดีขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาและง่ายต่อการจัดฟันด้วยเครื่องมือติดแน่น ลดปัญหาฟันเคลื่อนหลังถอดเครื่องมือจัดฟันติดแน่นได้ด้วย โดยเครื่องมือ EF line สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี

โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น ซึ่งทันตแพทย์จะพิจารณาในการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาของเด็กแต่ละคน สำหรับเด็กที่มีคางเบี้ยว ขากรรไกรล่างเยงแบนไปจากแนวกลางใบหน้า เนื่องจากตำแหน่งฟันผิดปกติ

การสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด จะมีผลทำให้กระดูกเบ้าฟันบริเวณนั้นเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ และมีการเคลื่อนที่ของฟันข้างเคียงเข้าสู่ช่องว่างนั้นแคบลง ไม่มีที่เพียงพอสำหรับการขึ้นของฟันแท้ที่จะขึ้นมาแทนที่ ดังนั้น เครื่องมือการจัดฟัน EF LINE สำหรับเด็กจึงมีประสิทธิภาพมากในการแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อใบหน้าและปัญหาความผิดปกติของฟันได้เป็นอย่างดี


ถ้าหากพบว่า บุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างใบหน้า หรือกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีความผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม ควรพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการแก้ไข เพื่อที่จะได้มีรูปหน้าที่สวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพราะการที่เรามีฟันที่เรียงตัวสวยงาม จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของการดูแลสุขภาพฟันที่ง่ายมากขึ้น ทำให้เราทำความสะอาดฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก idol Smile เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และช่วยวิเคราะห์ใบหน้าและหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เพื่อให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
#43
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: [email protected]
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/

#44
ปล่อยรถผู้บริหาร BMW 750e xDrive M-Sport 2024 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

เอ็มดับเบิลยู BMW Series 7 750e xDrive M Sport ปี 2023
750e xDrive M Sport มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ / 313 แรงม้า / 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร / 1,750 - 4,700 รอบต่อนาที กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ จะส่งกำลังรวมสูงสุด 360 กิโลวัตต์ / 489 แรงม้า และให้แรงบิดรวมสูงสุด 700 นิวตันเมตร พร้อมความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงที่ 22.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 20.05 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร และให้ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสูงสุดที่ 85 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC สร้างความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที

(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard) และจะปรับเป็น 7,059,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2025

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 26 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
ผ่อน 90,xxx / 72 งวด
ส่งฟรีถึงบ้านโดยรถสไลด์,รับประกันเครื่องเกียร์  1 ปี,รับประกันไมล์แท้
ซื้อสดไม่มีบวก vat 7%,ล้างขัดสีเช็ดระบบไฟก่อนส่งมอบ

ราคาพิเศษ 4,928,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                        เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ BMW TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังรวมสูงสุด 360 กิโลวัตต์ / 489 แรงม้า และให้แรงบิดรวมสูงสุด 700 นิวตันเมตร

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)          2,998 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)      489 แรงม้า
ระบบเกียร์                        เกียร์ออโต้ 8AT
รูปแบบเกียร์                    พร้อม Sport Steptronic
ระบบเบรค ABS                มี (พร้อมระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง        เบนซิน 95,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),ไฮบริด
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน
ระบบหัวฉีดน้ำมันความแม่นยำสูง
น้ำหนักตัวรถ                        -
ประเภทยางรถยนต์                  -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                ล้ออัลลอย (M aerodynamic ขนาด 20 นิ้ว แบบสลับสี)
ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนสี่ล้อ (xDrive)

#45
หมอออนไลน์: โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome/RLS)

โรคขาอยู่ไม่สุข* เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้มีอาการขยับขาหรือขากระตุก ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก และพบมากขึ้นตามอายุ พบมากในช่วงวัยกลางคน ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย และอาการมักรุนแรงกว่า

ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 50 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเนื่องมาจากมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ

*มีอีกชื่อหนึ่งว่า Willis-Ekbom disease


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับสมองผลิตสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า โดพามีน (dopamine) ได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ (พบว่าผู้ป่วยบางรายมียีนผิดปกติที่ถ่ายทอดให้ลูกหลานได้)

สารโดพามีนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อมีน้อยกว่าปกติก็จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ โดยปกติโดพามีนจะลดระดับลงในช่วงเย็น ๆ ดังนั้นโรคนี้จึงมักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ และตอนกลางคืน

ส่วนน้อยอาจพบว่ามีสาเหตุ คือ พบร่วมหรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ  อาทิ

    ภาวะขาดธาตุเหล็ก (เช่น มีเลือดออก มีประจำเดือนออกมาก) ซึ่งอาจทำให้เกิดมีภาวะโลหิตจางหรือไม่ก็ได้ ภาวะขาดธาตุเหล็กทำให้โดพามีนลดลง จึงทำให้เกิดโรคขาอยู่ไม่สุขได้
    ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ซึ่งมักมีภาวะขาดธาตุเหล็กและโลหิตจาง
    ผู้ที่มีภาวะปลายประสาท (ที่แขนขา) เสื่อม ซึ่งอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
    โรคพาร์กินสัน
    ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ หรือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังระหว่างผ่าตัด
    หญิงบางคนอาจมีอาการนี้ระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 และหลังคลอดอาการจะหายไปได้เอง
    นอกจากนี้พบว่ามียาบางชนิดที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น ยาแก้แพ้ แก้อาเจียน ยาต้านซึมเศร้า ยาทางจิตประสาท


อาการ

ผู้ป่วยมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ขา เช่น รู้สึกคัน แสบร้อน รู้สึกยิบ ๆ เหมือนมีตัวอะไรไต่ที่ขา รู้สึกปวดตุบ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ คล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกว่าถูกดึงขา เป็นต้น บางคนอาจบรรยายลักษณะอาการไม่ถูก และมักบอกว่าไม่เหมือนเป็นเหน็บชาหรือเป็นตะคริว ผู้ป่วยมักบอกว่ามีความรู้สึกที่ทนไม่ได้และจะต้องขยับขาเพื่อให้ความรู้สึกนั้นหายไป

บางรายอาจมีอาการที่บริเวณอื่น (เช่น แขน หน้าอก ศีรษะ ใบหน้า) ร่วมด้วยก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นที่ขา 2 ข้าง อาจเป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วเป็นอีกข้างตามมา หรืออาจเป็นเพียงข้างเดียว

มักเป็นในช่วงเวลานั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ (เช่น ระหว่างอยู่ในห้องประชุม ชมภาพยนตร์ นั่งรถ หรือเครื่องบิน) หรือเวลานอน มักเป็นมากในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ จนถึงกลางดึก อาการมักน้อยลงในช่วงย่ำรุ่ง และเวลานวดคลึงหรือเคลื่อนไหวขา (เช่น ยืดเหยียดขา ขยับขาไปมา ก้าวเดิน) อาการมักจะทุเลาลง

อาการที่เป็นแต่ละครั้งมีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางครั้งอาจเป็นเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้นอนไม่หลับ อาจมีอาการทุกวัน หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ เป็นครั้งคราว

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะขากระตุกขณะนอนหลับ (periodic limb movement disorder/PLMD) ร่วมด้วย โดยมักมีอาการขากระตุกโดยอัตโนมัติตอนนอนหลับเป็นครั้งคราว แต่ละคราวมักมีอาการกระตุกซ้ำ ๆ ทุก 20-40 วินาที บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้ตื่นขึ้น


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ส่วนใหญ่จะทำให้มีปัญหานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอาการตื่นกลางดึก หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน ส่งผลให้กลางวันง่วงนอน ทำงานไม่ได้เต็มที่

ในรายที่มีอาการรุนแรงทำให้สูญเสียคุณภาพชีวิต และเกิดภาวะซึมเศร้า


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย (สอบถามจากคนใกล้ชิดในบ้านที่สังเกตเห็นอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้ป่วยนอนหลับ) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

หากสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะโลหิตจาง ระดับน้ำตาลในเลือด) ตรวจทางระบบประสาท

หากสงสัยมีภาวะนอนไม่หลับจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจจำเป็นต้องทำการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธี "Polysomnography"


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง

2. ถ้ารุนแรง แพทย์จะให้ยาควบคุมอาการ เช่น ยากระตุ้นโดพามีน (เช่น rotigotine, pramipexole) ยากันชัก (เช่น carbamazepine, gabapentin, enacarbil, pregabalin) ยาทางจิตประสาท เป็นต้น


3. ถ้ามีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิต ในรายที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก, ให้ยารักษาโรคเบาหวาน, พาร์กินสัน เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ บางรายปลอดจากอาการนานเป็นปี ๆ บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่ หรือเมื่ออายุมากขึ้นอาจมีอาการมากขึ้น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคขาอยู่ไม่สุข ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ปฏิบัติตัวด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ช่วยให้อาการดีขึ้น เช่น การยืดเหยียดเท้าหรือขาที่มีอาการ การลุกขึ้นเดินไปมา การบีบนวด การแช่เท้าในน้ำอุ่น การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น การนวดด้วยเครื่องสั่น (vibration) เป็นต้น
    นอนหลับให้เพียงพอ
    ออกกำลังกายที่ไม่หักโหมมาก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการ

ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 2-3 สัปดาห์ หรือหลังทุเลาดีแล้วกลับมีอาการกำเริบใหม่ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา


การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล

อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยการป้องกันหรือรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็ก เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง พาร์กินสัน


ข้อแนะนำ

โรคนี้มักเป็นเรื้อรังไม่หายขาด แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ยกเว้นอาจทำให้นอนไม่หลับ หรือเกิดภาวะซึมเศร้า ควรดูแลรักษาอย่างจริงจังก็จะช่วยให้อาการทุเลาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
#46
ภาวะแทรกซ้อน จากการให้อาหารสายยาง !

อาหารทางสายยาง อาหารปั่นผสมนั้น เป็นอาหารที่ต้องใช้ในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานอาหารทางสายยาง ทั้งนี้ในการรับประทานอาหารด้วยวิธีนี้ ก็จะต้องมีเรื่องของความเสี่ยง อันตราย หรือภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น จะส่งผลให้ร่างกายมีอาการอาเจียน ท้องเสียได้

ปลายสายให้อาหารเลื่อนออก มาอยู่ในหลอดอาหาร หรือเข้าไปในหลอดลม อาหารเหลวเข้าไปในหลอดลม หรือถ้าปลายสายอยู่ในหลอดอาหารจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนและสำลักอาหารได้ และอีกอาการหนึ่งก็คือ อาเจียน เนื่องจากปลายสายเลื่อนมาอยู่ในหลอดอาหาร การให้อาหารทางสายเร็วเกินไป เกิดการหดเกร็งของกระเพาะอาหาร มีลมเข้าไปขณะให้อาหารทำให้ผุ้ป่วยท้องอืด เป็นสาเหตูให้เกิดการอาเจียนได้ การจัดท่าไม่เหมาะสม ท่าทีเหมาะสมในการให้อาหารทางสายคือ ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง

และอีกอาการหนึ่งคือ ภาวะไม่สมดุลของสารน้ำ ปัญหาความไม่สมดุลของสารน้ำในร่างกายจากสูตรอาหารที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดภาวะ Hyponatremia นั่นก็คือภาวะโซเดียมในเลือดต่ำกว่าปกติ และยังมีภาวะแทรกซ้อนอีกมากมาย หากเราให้อาหารไม่ถูกวิธี


การให้อาหารทางสายยาง ปลอดภัย สารอาหารครบถ้วน !

คนเราต้องรับประทานเพื่อให้ร่างกายมีพลังงาน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานอาหารทางสายยาง ก็ต้องมีวิธีที่ต้องรับประทานที่แตกต่างกันไป ซึ่งต้องดูจากอาหารที่รับประทานว่าเป็นชนิดไหน

สำหรับสูตรน้ำนม เพื่อให้ผู้รับประทานได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนของวัตถุดิบที่น้ำมาใช้จะขึ้นอยู่กับพลังงานและสารอาหารที่แพทย์กำหนด และต้องมีความเข้มข้นที่พอเหมาะและไหลผ่านสายให้อาหารได้ดี ในกรณีที่ต้องการอาหารพลังงานสูง

สูตรปั่นผสม อาหารสูตรนี้มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน ใช้วัตถุดิบจากอาหาร 5 หมู่ ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ น้ำตาล และไขมัน นำมาทำให้สุก แล้วปั่นผสมเข้าด้วยกัน กรองเอาส่วนที่ปั่นไม่ละเอียดออก เพื่อให้อาหารสามารถไหลผ่านสายให้อาหารได้ ปริมาณวัตถุดิบขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงานและสารอาหารของผู้ป่วยแต่ละราย ตามที่แพทย์กำหนด อาหารสูตรปั่นผสมเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแพ้นมวัว
#47
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: พิษหอยทะเล (Shellfish poisoning)

หอยทะเลเป็นกาบคู่ เช่น หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม เป็นต้น บางครั้งอาจมีพิษซึ่งมีอยู่หลายชนิด* ทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการเป็นพิษ ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง ส่วนน้อยอาจรุนแรงถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากพิษที่มีชื่อว่า แซกซิท็อกซิน ซึ่งจะมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายพิษปลาปักเป้าและแมงดาถ้วย

พิษหอยทะเลทุกชนิดมีความทนต่อความร้อน

*พิษที่พบในหอยทะเลเกิดจากหอยทะเลกินสาหร่ายพิษเป็นอาหาร จึงมีการสะสมพิษอยู่ในเนื้อหอย ชนิดของพิษที่พบในหอยทะเล มีดังนี้ (3 ชนิดแรกมีพิษต่อประสาท ชนิดที่ 4 ไม่มีพิษต่อประสาท)

1. พิษชนิดที่ร้ายแรงมาก คือ แซกซิท็อกซิน (saxitoxin) สังเคราะห์โดยสาหร่ายแดงซึ่งเป็นพืชเซลล์เดียวกลุ่ม dinoflagellate ที่มีชื่อว่า Gonyaulax มีลักษณะเป็นสีแดง ลอยเป็นแพยาว ชาวบ้านเรียกว่า "ขี้ปลาวาฬ" ซึ่งจะแพร่พันธุ์มากในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ทำให้น้ำทะเลเป็นสีน้ำตาลแดง (red tide) พิษชนิดนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ขัดขวางการสื่อกระแสประสาทแบบเดียวกับเทโทรโดท็อกซินในปลาปักเป้า ทำให้เกิดอาการแสดงแบบเดียวกับพิษปลาปักเป้า (ดู "พิษปลาปักเป้า" เพิ่มเติม)

2. พิษที่ร้ายแรงรองลงมา คือ กรดโดโมอิก (domoic acid) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายสารกลูทาเมต (glutamate) สังเคราะห์โดยสาหร่ายกลุ่ม diatom ที่มีชื่อว่า Nitzschia pungens พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์ทำให้โซเดียมเข้าไปในเซลล์ประสาทมากขึ้น และโพแทสเซียมออกจากเซลล์ประสาทมากขึ้น เกิดอาการความจำเสื่อม และอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง

3. พิษต่อประสาทอีกชนิดหนึ่ง คือ เบรเวท็อกซิน (brevetoxin) สังเคราะห์โดยพืชเซลล์เดียวกลุ่ม dinoflagellate ที่มีชื่อว่า Ptychodiscusbrevis ออกฤทธิ์คล้ายพิษซิกัวท็อกซิน ทำให้เกิดอาการคล้ายพิษปลาทะเล แต่จะไม่มีอาการกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต

4. กรดโอคาเเดอิก (okadaic acid) สังเคราะห์โดยพืชเซลล์เดียวกลุ่ม dinoflagellate ที่มีชื่อว่า Dinophysis เเละ Prorocentrum พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์โดยไปจับกับเซลล์เยื่อบุลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเดินเป็นสำคัญ


สาเหตุ

เกิดจากการบริโภคหอยทะเลพิษโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์


อาการ

ขึ้นกับชนิดและปริมาณพิษที่ได้รับ ดังนี้

1. ถ้าเกิดจากพิษอ่อน ได้แก่ กรดโอคาแดอิก ซึ่งไม่มีพิษต่อประสาท จะมีอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องเดินแบบอาการอาหารเป็นพิษทั่วไป อาการเป็นพิษชนิดนี้เรียกว่า "Diarrheal shellfish poisoning/DSP"

2. ถ้าเกิดจากพิษต่อประสาทร้ายแรง ได้แก่ แซกซิท็อกซิน (ซึ่งจะมีความเป็นพิษสูงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม) มักเกิดอาการหลังกินหอยทะเลประมาณ 30 นาที ระยะแรกมีอาการชาและรู้สึกเสียวแปลบ ๆ ที่ริมฝีปาก ลิ้น หน้า แล้วลุกลามรวดเร็วไปที่แขนและขา อาจมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดินตามมา ถ้าเป็นมากจะมีอาการปวดหัว รู้สึกตัวลอย เดินเซ กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดลำบาก กลืนลำบาก ชีพจรเต้นช้า ในที่สุดจะหายใจไม่ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต อาจตายภายใน 2-24 ชั่วโมง ถ้ารอดชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมง ก็มักจะฟื้นหายเป็นปกติได้ดี โดยทั่วไปมักจะมีอาการอยู่นาน 3-5 วัน เด็กจะเป็นรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ อาการเป็นพิษชนิดนี้เรียกว่า "Paralytic shellfish Poisoning/PSP"

3. ถ้าเกิดจากพิษกรดโดโมอิก จะมีอาการเกิดขึ้นหลังกินหอยทะเลไม่นาน เริ่มต้นด้วยอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน ต่อมาจะมีอาการปวดศีรษะ และสูญเสียความจำ (amnesy) เล็กน้อย คือมีอาการหลงลืมไปชั่วคราว (ยกเว้นบางรายอาจรุนแรงจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน) ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการชัก หมดสติ หรือแขนขาอ่อนแรงซีกหนึ่ง หากไม่ได้รับการรักษา มีอัตราตายประมาณร้อยละ 3 อาการเป็นพิษชนิดนี้เรียกว่า "Amnestic shellfish posioning/ASP"

4. ถ้าเกิดจากพิษเบรเวท็อกซิน จะมีพิษต่อประสาทคล้ายพิษปลาทะเล เกิดอาการหลังกินหอยทะเล 15 นาที ถึง 18 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน แสบก้น และรู้สึกเสียวแปลบ ๆ ที่หน้า ลำตัว และแขนขา การรับรู้อุณหภูมิแบบกลับตาลปัตร ปวดกล้ามเนื้อ เดินเซ เห็นบ้านหมุน อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น อาการสั่น กลืนลำบาก ชีพจรเต้นช้า รูม่านตาขยาย แต่จะไม่เกิดอาการกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต อาการจะเป็นอยู่นาน 1-72 ชั่วโมง โดยฟื้นหายได้เป็นปกติ (ไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากโรคนี้) อาการเป็นพิษชนิดนี้เรียกว่า "Neurologic shellfish poisoning/NSP"


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะขาดน้ำรุนแรง จนถึงช็อก

ถ้าเป็นจากพิษร้ายแรงก็อาจเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ที่พบได้บ่อย คือ ภาวะขาดน้ำ (หากทดแทนไม่เพียงพอ)

ส่วนในรายที่รับพิษต่อประสาท จะพบอาการเสียวแปลบ ๆ ที่ปาก ลิ้น หน้า เเขนขา การรับรู้อุณหภูมิเเบบกลับตาปัตร อาการหลงลืม

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชีพจรเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ รูม่านตาขยาย ชัก หมดสติ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาขั้นพื้นฐาน (อ่านเพิ่มเติมที่ "การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ" ด้านล่าง) และแก้ไขตามอาการที่พบเช่นเดียวกับพิษปลาปักเป้าและพิษปลาทะเล เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้อะโทรพีนในรายที่ชีพจรเต้นช้า เป็นต้น

การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ

1. ถ้าผู้ป่วยกินสัตว์หรือพืชพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียน รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียนด้วยการให้ไอพีเเคกน้ำเชื่อมหรือใช้นิ้วล้วงคอ

2. ให้ผู้ป่วยกินผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1 แก้ว โดยให้ผู้ป่วยดื่มเอง ถ้าอาเจียนหรือดื่มเองไม่ได้ ให้ป้อนผ่านท่อสวนกระเพาะ (stomach tube) ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ควรใส่ท่อช่วยหายใจก่อนเพื่อป้องกันการสำลัก

ควรให้เร็วที่สุดเมื่อพบผู้ป่วย (วิธีนี้จะได้ผลมากที่สุดเมื่อให้กินภายใน 30 นาทีหลังกินสัตว์หรือพืชพิษ) ไม่ควรให้ก่อนหรือหลังให้ยาที่ทำให้อาเจียน

ในรายที่รับพิษร้ายเเรง เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย เห็ดพิษร้ายแรง หรือสงสัยรับพิษปริมาณมาก ควรให้ซ้ำทุก 4 ชั่วโมง

3. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ

วิธีนี้จะได้ผลดี เมื่อผู้ป่วยกินสารพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และไม่มีอาการอาเจียน ถ้าทำหลังกินสารพิษมากกว่า 4 ชั่วโมง อาจไม่ได้ประโยชน์และไม่คุ้มกับผลข้างเคียง (ที่สำคัญคือ การสำลักเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ)

ควรกระทำโดยบุคลากรที่ชำนาญ และในที่ที่มีความพร้อม

ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก และห้ามทำในผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัว หมดสติ

อาจให้ผงถ่านกัมมันต์กินก่อนล้างกระเพาะ หรือผสมผงถ่านกัมมันต์ในน้ำล้างกระเพาะก็ได้

4. ให้ผู้ป่วยดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนต ขนาด 2-5% จำนวน 50 มล.

5. ให้กินยาระบาย ซอร์บิทอล (sorbitol) ขนาด 70% อาจกินเดี่ยว ๆ หรือผสมกับผงถ่านกัมมันต์แทนน้ำก็ได้ ถ้าไม่มีอาจให้ยาระบายอื่น ๆ เช่น ยาระบายแมกนีเซีย (Milk of Magnesia) แทน ให้ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง

ห้ามทำ ในรายที่มีอาการถ่ายท้องมากอยู่แล้ว หรือมีภาวะขาดน้ำที่ยังไม่ได้รับการทดแทน

6. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

7. ถ้าชักฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก.เข้าหลอดเลือดดำ

8. ถ้าหยุดหายใจหรือหายใจไม่ได้ ให้ทำการช่วยเหลือด้วยการเป่าปาก หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ

9. ถ้าหมดสติ ให้การรักษาแบบหมดสติ


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าผู้ป่วยเกิดอาการพิษหอยทะเล ควรทำการปฐมพยาบาลแล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อขับพิษออก

    ถ้ามียากระตุ้นอาเจียน ได้แก่ ไอพีแคกน้ำเชื่อม (syrup ipecac) ให้กินครั้งละ 15-30 มล. (เด็กโต 15 มล.) และดื่มน้ำตามไป 1 แก้ว ถ้ายังไม่อาเจียนใน 20 นาที กินซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
    ถ้าไม่มียา ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1 แก้ว แล้วใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยที่ผนังลำคอกระตุ้นให้อาเจียน ถ้าไม่ได้ผลทำซ้ำอีกครั้ง

ควรเก็บเศษอาหารที่อาเจียน ไว้ส่งตรวจวิเคราะห์

วิธีนี้จะได้ผลดี ต้องรีบทำภายใน 1 ชั่วโมงหลังกินสารพิษ และไม่ต้องทำหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเองอยู่แล้ว

ห้ามทำ ในผู้ป่วยที่ชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ หรือสารพิษไม่ทราบชนิด

2. ถ้ามีผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ให้กินขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1/2-1 แก้ว เพื่อลดการดูดซึมสารพิษเข้าร่างกาย (ไม่ต้องทำถ้าผู้ป่วยกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์)

ถ้าไม่มีผงถ่านกัมมันต์ ให้กินไข่ดิบ 5-10 ฟอง หรือดื่มนมหรือน้ำ 4-5 แก้ว

3. สำหรับผู้ป่วยที่กินพาราควอต ให้กินสารละลายดินเหนียว (Fuller's earth) โดยผสมผงดินเหนียว 150 กรัม หรือ 2 1/2 กระป๋อง ในน้ำ 1 ลิตร ถ้าไม่มีให้ดื่มน้ำโคลนดินเหนียวจากท้องร่องในสวน (ที่ไม่มีตะปูหรือเศษแก้ว หรือสารพิษตกค้าง) ซึ่งจะลดพิษของยานี้ได้

4. สำหรับผู้ที่กินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย ปลาทะเลพิษ หอยทะเลพิษ เห็ดพิษ ให้ดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนตขนาด 2-5% จำนวน 50 มล. (อาจเตรียมโดยผสมผงฟู 1-2.5 กรัม ในน้ำ 50 มล.) ซึ่งจะช่วยลดพิษของอาหารพิษได้

ห้ามทำ ข้อ 2-4 ถ้าผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ

5. ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

6. ถ้าผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยชัก (อ่านใน "โรคลมชัก" เพิ่มเติม) หรือหมดสติ (อ่านใน "อาการหมดสติ" เพิ่มเติม)

7. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรนำสารพิษที่ผู้ป่วยกินหรืออาเจียนออกมาไปให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์ด้วย

การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการบริโภคหอยทะเลในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม เพราะช่วงนี้มีการแพร่พันธุ์ของสาหร่ายแดง ทำให้หอยมีพิษมาก

2. ควรบริโภคหอยทะเลในปริมาณพอประมาณอย่ามากเกิน เพื่อลดปริมาณพิษที่อาจจะได้รับโดยบังเอิญ

ข้อแนะนำ

ควรให้ความรู้แก่คนทั่วไปให้ทราบถึงพิษภัยของหอยทะเล และแนะนำว่าถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดินหลังกินหอยทะเล ควรสังเกตว่ามีอาการของระบบประสาท เช่น ชา และเสียวแปลบ ๆ ที่ปาก ลิ้น หน้า แขนขา การรับรู้อุณหภูมิแบบกลับตาลปัตร กล้ามเนื้ออ่อนเเรง มีอาการหลงลืม ถ้าสงสัยควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
#49
motor expo 2025 Audi Q5 และ SQ5 ภายนอกใหม่ ภายในล้ำ ยังมีเครื่อง V6 362 แรงม้า

เปิดตัว All New Audi Q5 โมเดลปี 2025 เอสยูวีขนาดกลางจากค่ายสี่ห่วง มาพร้อมทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ทั้งดีไซน์ภายนอก ภายใน รวมถึงเครื่องยนต์ที่ประหยัดมากกว่าเดิมอีกด้วย

 Audi Q5 ใหม่มาพร้อมพื้นฐานแพลตฟอร์ม Premium Platform Combustion (PPC) และจำหน่ายทั้ง Q5 และรุ่นที่แรงกว่าอย่าง SQ5

 ยังมีเครื่อง V6 ให้เลือก

 Q5 สเปคอเมริกา
สำหรับ Q5 สเปคอเมริกา เครื่องยนต์เริ่มต้นจะเป็นขุมพลัง 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร TFSI ให้กำลังสูงสุด 268 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ dual-clutch 7 สปีด S-tronic พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro

 ส่วน SQ5 มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร TFSI ให้กำลังสูงสุด 362 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ dual-clutch 7 สปีด S-tronic และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro วัดอัตราสิ้นเปลืองได้ 11.6 – 12.4 กม./ลิตร (WLTP)

 Q5 สเปคยุโรป
สำหรับสเปคยุโรป Q5 จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 3 รูปแบบ ซึ่งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Mild-hybrid 48V พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 1.7 kWh ที่ให้กำลังสูงสุด 24 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร ได้แก่

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร TDI เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ dual-clutch

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร TFSI เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 201 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro แรงบิด 340 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ dual-clutch

สำหรับ SQ5 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร TFSI เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 362 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ dual-clutch

ในอนาคตจะมีขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้เลือก ซึ่งจะมาพร้อมระยะทางขับขี่ในโหมด EV ประมาณ 80 กม. คาดว่าจะตามมาในช่วงหลังปี 2025 เป็นต้นไป

 ขับสบายขึ้นกว่าเดิม

 แพลตฟอร์มใหม่ของ Q5 รวมถึงการปรับปรุงช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวใหม่ ทำให้ Audi กล่าวว่า 2025 Q5 จะให้ความสะดวกสบายมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ในรุ่นเริ่มต้นจะมาพร้อมช่วงล่าง Frequency Selective Dampers ถัดมาจะเป็นช่วงล่างแบบถุงลมพร้อมออพชั่น adaptive damper controls ส่วน SQ5 จะใช้ช่วงล่างแบบสปอร์ต

  รถใหญ่ แต่ไม่เทอะทะ

 2025 Audi Q5 มาพร้อมดีไซน์แบบใหม่ที่ทำให้ตัวรถดูไม่เทอะทะแม้จะเป็น SUV ขนาดกลาง นั่นเป็นเพราะเส้นสายรอบคันช่วยเอาไว้ ด้านหน้าเราจะเห็นไฟหน้า Matrix LED มาให้เป็นมาตรฐานพร้อม DRL ที่ปรับได้ 8 รูปแบบ และไฟท้าย digital OLED เจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งสามารถแสดงกราฟฟิคที่ช่วยเตือนคนข้างหลังถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้

  ภายในสุดล้ำ

 สำหรับดีไซน์ภายในของ Q5 ใหม่ ไม่ได้ต่างจากแนวทางของ Audi เจนใหม่รุ่นอื่น ๆ เท่าไหร่ โดยมาพร้อมหน้าจอโค้ง curved display ซึ่งประกอบด้วยมาตรวัดดิจิทัล 11.9 นิ้ว และหน้าจอกลาง MMI infotainment display ขนาด 14.5 นิ้ว รวมถึงหน้าจอ 10.9 นิ้วที่ผู้โดยสารด้านหน้าอีกด้วย

 เราจะเห็นพวงมาลัยของรถเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นท้ายตัดมาให้เป็นมาตรฐาน ปุ่มจริงลดลงจากรุ่นเดิมเข้าไปรวมกับหน้าจอเกือบทั้งหมด ทั้งระบบปรับอากาศ และปุ่มควบคุมต่าง ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบอินโฟเทนเมนต์ของรถทำงานบน Android Automotive OS ที่สามารถเข้าแอพของ Google เช่น Youtube ได้ รวมถึงมีฟังก์ชันอย่าง Head-up Display เป็นออพชั่นเสริมด้วย

 Audi ระบุว่า ห้องโดยสารของ Q5 ใหม่จะกว้างกว่าที่เคย เบาะแถวหลังสามารถปรับได้หลากหลาย ที่น่าสนใจคือการปรับเงยได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ เช่น แท่นชาร์จไร้สาย, ช่องชาร์จ USB-C ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง แถมด้านหลังสามารถชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยกำลังไฟสูงสุด 100 วัตต์ เพียงพอสำหรับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเลยทีเดียว

  เริ่ม 1.98 ล้านในยุโรป

 สำหรับ 2025 All New Audi Q5 เปิดราคาในยุโรปเริ่มที่ 52,300 ยูโรหรือราว 1.98 ล้านบาท และ SQ5 เริ่มที่ 82,900 ยูโรหรือราว 3.13 ล้านบาท โดยรถคันนี้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ BMW X3 ที่เพิ่งเปิดตัวไปนั่นเอง
#50
อาการของโรคดียูบี (Dysfunctional uterine bleeding/DUB)

ดียูบี เป็นภาวะที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกที่ไม่มีพยาธิสภาพเฉพาะที่ตรวจพบ เช่น เนื้องอก หรือการอักเสบของมดลูกหรือการตั้งครรภ์

พบได้ในผู้หญิงทุกวัย แต่จะพบมากในระยะเข้าสู่วัยสาวขณะที่มีประจำเดือนครั้งแรก และในระยะวัยกลางคน เมื่อใกล้จะหมดประจำเดือนอย่างถาวร

เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีเลือดออกทางช่องคลอดมากหรือนานผิดปกติ

สาเหตุ

เกิดจากการเสียสมดุลระหว่างฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ เอสโทรเจน (estrogen) และโพรเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทำให้มีเอสโทรเจนในร่างกายสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นเหตุให้เยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้น แล้วทำให้มีเลือดออกจากโพรงมดลูกผิดปกติตามมา มักพบในผู้หญิงที่มีรอบเดือนที่ไม่มีการตกไข่ (anovulatory cycle)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมาก หรือกะปริดกะปรอยนานเป็นสัปดาห์ ๆ โดยมากจะไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย เลือดอาจออกมากจนผู้ป่วยซีด อ่อนเพลีย

บางรายอาจมีประวัติประจำเดือนขาดนำมาก่อนสัก 2-3 เดือน


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือด

ในรายที่มีเลือดออกมากและเร็ว อาจเกิดภาวะช็อก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการขั้นต้น

การตรวจร่างกายมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ในรายที่มีเลือดออกมาก อาจตรวจพบภาวะซีด

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด อาจต้องตรวจเลือด (ประเมินภาวะซีด และการแข็งตัวของเลือด) ตรวจปัสสาวะ (ดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่) การตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด (transvaginal ultrasonography) เพื่อดูว่ามีการหนาตัวของเยื่อบุมดลูกหรือไม่ และอาจต้องตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าสงสัยมีพยาธิสภาพในโพรงมดลูก เช่น ตรวจชิ้นเนื้อในรายที่สงสัยเป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 35 ปี


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีเลือดออกน้อย ไม่ซีดหรือซีดเล็กน้อย และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แพทย์จะให้ยาบำรุงโลหิต และอาจให้ยาฮอร์โมนในรายที่มีภาวะซีด เพื่อควบคุมให้เลือดออกน้อยลง

2. ในรายที่มีเลือดออกปานกลาง มีภาวะซีดเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกตัวดี ความดันโลหิตและชีพจรเป็นปกติ แพทย์จะให้ฮอร์โมนบำบัด และให้ยาบำรุงโลหิต

3. ในรายที่มีเลือดออกมาก มีภาวะซีดมาก หรือมีชีพจรเต้นเร็ว หรือภาวะช็อก แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้เลือดในรายที่เสียเลือดมาก และให้ยาฮอร์โมนเพื่อควบคุมภาวะเลือดออก

4. ถ้าให้ยาฮอร์โมนแล้วเลือดไม่หยุด (ปกติควรจะหยุดภายใน 24 ชั่วโมง หรือภายใน 2-3 วัน) หรือพบในผู้ป่วยอายุมากกว่า 35 ปี แพทย์อาจทำการขูดมดลูก และทำการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็งโพรงมดลูก ในบางรายแพทย์อาจใช้กล้องส่องตรวจโพรงมดลูก (hysteroscopy) เพื่อตรวจพยาธิสภาพในโพรงมดลูก

การขูดมดลูกจะช่วยให้เลือดหยุดได้ หลังจากนั้นจำเป็นต้องให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดนานอย่างน้อย 3-6 เดือน
เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฮอร์โมนหรือมีความผิดปกติของโพรงมดลูก (เช่น เนื้องอกมดลูก มะเร็งมดลูก) ก็จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดมดลูก


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมาก หรือกะปริดกะปรอยนานเป็นสัปดาห์ ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นดียูบี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือหน้าตาซีดกว่าปกติ
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยที่มีเลือดประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย อาจมีสาเหตุจากดียูบี ซึ่งมักไม่มีอันตรายร้ายแรง (นอกจากทำให้เสียเลือด) และสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น ซึ่งมักพบในผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์นอกมดลูก แท้งบุตร เป็นต้น ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด