• Welcome to Phuket forum เว็บบอร์ด ภูเก็ต.
 

Doctor At Home: ส่าไข้ (Roseola Infantum)

เริ่มโดย siritidaphon, ก.ค 04, 2025, 04:37 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

siritidaphon

Doctor At Home: ส่าไข้ (Roseola Infantum)

ส่าไข้ (Roseola Infantum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไข้ผื่นกุหลาบ เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี แม้จะมีอาการไข้สูง แต่โดยทั่วไปแล้วโรคนี้ไม่เป็นอันตรายรุนแรง และมักจะหายได้เอง


สาเหตุ

ส่าไข้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม Human Herpesvirus (HHV) โดยส่วนใหญ่เกิดจาก HHV-6 และบางครั้งอาจเกิดจาก HHV-7 ไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย


อาการ

อาการของส่าไข้มักจะเกิดขึ้นเป็นลำดับดังนี้:

ไข้สูงเฉียบพลัน: เด็กจะมีไข้สูง 39 - 40 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจน อาจมีอาการหงุดหงิด งอแง อ่อนเพลีย แต่ยังคงกินอาหารได้ดีในบางราย ไข้มักจะสูงลอยอยู่ประมาณ 3 - 5 วัน


อาการอื่น ๆ (อาจพบร่วมด้วย):

คอแดงเล็กน้อย

ต่อมน้ำเหลืองโตที่คอหรือหลังหู

เปลือกตาบวม

อาจมีอาการถ่ายเหลวเล็กน้อย

ในเด็กบางรายที่มีไข้สูงมาก อาจมีอาการ ชักจากไข้สูง (Febrile Seizure) ได้

ไข้ลดและผื่นขึ้น: เมื่อไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว (มักจะเป็นวันที่ 3 - 5 หลังจากมีไข้) ผื่นสีชมพูหรือแดงอ่อน ๆ จะเริ่มขึ้นตามลำตัวก่อน จากนั้นจะลามไปที่คอ แขน และขา ผื่นมักจะแบนราบหรือนูนเล็กน้อย เมื่อกดแล้วจะจางหายไป ผื่นเหล่านี้ไม่คันและมักจะหายไปเองภายใน 1 - 2 วัน โดยไม่ทิ้งรอย


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยส่าไข้ส่วนใหญ่มักทำได้โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการสังเกตลักษณะการเกิดของอาการ คือ มีไข้สูงนำมาก่อน แล้วจึงมีผื่นขึ้นตามมาเมื่อไข้ลดลง การตรวจทางห้องปฏิบัติการมักไม่จำเป็น


การรักษา

เนื่องจากส่าไข้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และโดยทั่วไปไม่รุนแรง จึงไม่มีการรักษาจำเพาะ การรักษาหลักเป็นการดูแลตามอาการเพื่อบรรเทาความไม่สบายของเด็ก:

การเช็ดตัวลดไข้: ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็กเพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกาย

ยาลดไข้: ให้ยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนตามขนาดที่เหมาะสมกับน้ำหนักและอายุของเด็ก

ให้ดื่มน้ำมาก ๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากการมีไข้สูง

ให้พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว


การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันส่าไข้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยที่ดี:

ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย

หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย

ไม่ควรให้เด็กป่วยไปโรงเรียนหรือศูนย์เลี้ยงเด็กจนกว่าผื่นจะหายสนิท


ข้อควรระวัง

หากเด็กมีไข้สูงมาก มีอาการซึมลง อ่อนเพลียมาก ไม่ยอมกินนมหรืออาหาร มีอาการชัก หรือมีอาการอื่น ๆ ที่น่าเป็นห่วง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม